loader image

บริการครอบครัว

ทนายความครอบครัว

คดีที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องการความช่วยเหลือจากทนายความที่มีประสบการณ์ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เพื่อให้ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและราบรื่น.

ทนายความด้านครอบครัวสามารถช่วยคุณจัดการหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว รวมถึง:

หย่า

การหย่าเป็นการยุติการสมรสซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย การหย่าในประเทศไทยมี 2 ประเภท คือ การหย่าโดยความยินยอมและการหย่าโดยความยินยอม

การหย่าโดยความยินยอม

การขอยอมแพ้โดยยินยอม

การหย่าร้างโดยไม่ได้รับความยินยอม

การหย่าร้างโดยไม่ได้รับความยินยอมคือการหย่าร้างโดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมให้มีการหย่า ทำให้ไม่สามารถดำเนินการหย่าได้ คู่สมรสที่ประสงค์จะหย่าจึงต้องใช้สิทธิทางศาล คือฟ้องคดีให้ศาลมีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาซึ่งมีขั้นตอนซับซ้อนและ ต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน วิธีการให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำ เช่น ทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความในศาลเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมกรณีแบ่งสินสมรสและเรียกค่าเลี้ยงชีพ ค่าส่งเอกสารและหมายเรียก เป็นต้น อีกทั้งการใช้สิทธิฟ้องหย่าไม่ใช่ว่าคู่สมรสที่ต้องการหย่าจะฟ้องคดีได้เลย . เพราะต้องมีเหตุผลใด ๆ ที่กฎหมายกำหนดหรือที่เรียกว่าเหตุแห่งการหย่าร้าง

กฎหมายไทยกำหนดเหตุหย่าไว้ตามมาตรา 1516 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวม 10 เหตุ ดังนี้

  1. สามีหรือภริยาดูแลหรือให้เกียรติผู้อื่นในฐานะภรรยาหรือสามี การผิดประเวณีหรือการร่วมประเวณีหรือการร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นประจำ
  2. สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าการประพฤติผิดนั้นจะเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ก็ตาม หากเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง:
    (a) ต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูอย่างร้ายแรง
    (b) ทนรับการดูหมิ่นในการเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ละเมิดต่อไป หรือ
    (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร เมื่อนำภาพมาพิจารณาสถานะและการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา
  3. สามีหรือภริยาทำร้ายหรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หมิ่นประมาท ดูหมิ่นอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  4. สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งเกินหนึ่งปี
    (4/1) สามีหรือภริยาเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและเคยได้รับโทษจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนรู้เห็น การกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นและเป็นสามีภรรยากันต่อไปจะทำให้อีกฝ่ายเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
    (4/2) สามีภรรยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่กินกันฉันสามีภริยาไม่ได้ โดยทั่วไป. มีความสุขมากกว่าสามปีหรือแยกทางกันตามคำสั่งศาลนานกว่าสามปี
  5. สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้สาบสูญ หรือจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าตนเป็นคนเลวหรือเลวเพียงใด
  6. สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลือและดูแลซึ่งกันและกันตามสมควร หรือกระทำการอันร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ให้คำนึงถึงสถานภาพและการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาด้วย อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  7. สามีหรือภริยาวิกลจริตเกินสามปี และความวิกลจริตรักษาไม่หาย วิกลจริตจนไม่อาจทนอยู่กินฉันสามีภริยากันได้อีกต่อไปอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  8. สามีหรือภริยาฝ่าฝืนทัณฑ์บนที่ได้ทำเป็นหนังสือว่าด้วยการประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  9. สามีหรือภริยามีโรคติดต่อร้ายแรงซึ่งอาจเป็นภัยต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และเป็นโรคเรื้อรังโดยธรรมชาติและไม่สามารถรักษาให้หายได้
  10. สามีหรือภริยามีสภาพร่างกายที่ขัดขวางไม่ให้สามีหรือภริยามีเพศสัมพันธ์ตลอดไป

เมื่อมีการฟ้องหย่าแล้ว คู่สมรสที่ฟ้องคดียังสามารถเรียกร้องสิทธิได้ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ค่าเลี้ยงดูทั้งตนเองและบุตร ค่าเลี้ยงชีพ หากเหตุหย่าเกิดจากความผิดของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ค่าทดแทน ในกรณีที่เหตุหย่าเกิดจากชู้ของอีกฝ่ายหนึ่ง การแบ่งสินสมรส รวมทั้งการกำหนดอำนาจปกครองบุตรด้วย

สินสมรส

สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส หมายถึง ทรัพย์สินใด ๆ ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส ถือเป็นสินสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส บ้านและที่ดินที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หลังสมรส รถยนต์ เป็นต้น ดังนั้นการจะพิจารณาว่าทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสหรือไม่นั้นจำเป็นต้องพิจารณาว่าสามี และภริยาได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่แต่แรก ก่อน

เมื่อทรัพย์สินใดเป็นสินสมรส คู่สมรสแต่ละคนมีสิทธิในทรัพย์สินนั้น การกระทำหรือการกระทำใด ๆ ครึ่งหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินสมรสบางอย่างจะต้องมีการจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเสมอ กล่าวคือ:

  1. ขาย แลกเปลี่ยน ฝากขาย เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง
  2. การจัดตั้งหรือดำเนินการทั้งหมดหรือบางส่วนของภาระจำยอม สิทธิครอบครอง สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระผูกพันใน
    อสังหาริมทรัพย์
  3. การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
  4. การให้ด้วยเสน่หา เว้นแต่ การให้ตามสมควรแก่ญาติมิตรเพื่อการกุศล
  5. ประนีประนอม
  6. ส่งข้อพิพาทไปยังอนุญาโตตุลาการ
  7. ใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกันหรือประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการทรัพย์สินสมรส นอกจากการสมรสข้างต้นแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเขายังสามารถทำพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินส่วนสมรสของตนเองให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินจะต้องแบ่งกันคนละครึ่ง หากคู่สมรสประสงค์จะหย่าแต่ตกลงเรื่องทรัพย์สินกันไม่ได้ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลขอแบ่งสินสมรสได้หรือหากมีเหตุให้หย่าได้ตามกฎหมายการหย่าและการแบ่งสินสมรส สินสมรสสามารถยื่นพร้อมกันได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หากคู่สมรสฝ่ายใดไม่ต้องการให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสกลายเป็นสินสมรส จะต้องทำสัญญาก่อนสมรสพิเศษเกี่ยวกับทรัพย์สินก่อนสมรส และต้องบันทึกข้อตกลงเป็นสัญญาก่อนสมรสในทะเบียนสมรสและจดทะเบียนโดยมีพยานอย่างน้อย 2 คนแนบท้ายทะเบียนสมรส

ค่าเลี้ยงดูบุตร (Castody – Spousal and Child Support)

ในกรณีครอบครัวนั้น ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนสามารถพิจารณาได้ 2 ส่วน:

  1. ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างบิดามารดากับบุตร (ในกรณีนี้ เฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น)
  2. ค่าเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยา

สนับสนุนค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ปกครองและเด็ก

ค่าเลี้ยงดูระหว่างพ่อแม่กับลูก เนื่องจากพ่อแม่มีหน้าที่ต้องดูแลลูกซึ่งเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมและหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องให้การดูแลและการศึกษาแก่บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามสมควร หมายความว่ากฎหมายกำหนดให้ระยะเวลาการเลี้ยงดูบุตรได้ก็ต่อเมื่อเด็กบรรลุนิติภาวะหรืออายุ 20 ปีเท่านั้น เว้นแต่เด็กจะอยู่ในสภาพทุพพลภาพ ในขณะที่หน้าที่ดูแลพ่อแม่ที่ลูกต้องทำ. กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้บุตรต้องดูแลบิดามารดาตั้งแต่อายุเท่าใดถึงอายุเท่าใดและนานเท่าใด เมื่อพ่อแม่ลูกมีสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันที่จะต้องเกื้อกูลกัน เมื่อมีผู้ทอดทิ้ง ไม่เลี้ยงดู หรือเลี้ยงดูไม่พอเลี้ยงตนเอง กฎหมายบัญญัติให้ผู้ควรอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูสามารถฟ้องอีกฝ่ายหนึ่งเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ ไม่ให้อารักขา. การฟ้องคดีนี้บิดาหรือมารดาสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งของตนเองและบุตรแทนบุตรได้เช่นกัน

ค่าเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยา

ค่าเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยาแตกต่างจากค่าเลี้ยงดูระหว่างบิดามารดากับบุตร เพราะกฎหมายกำหนดว่าสามีภริยาต้องอยู่กินกันฉันสามีภริยา และสามีภรรยาต้องช่วยเหลือดูแลกันตามความสามารถและฐานะ ในกรณีที่ สามีภรรยาไม่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินสมควรฝ่ายที่เดือดร้อนเกินควรสามารถเรียกร้อง เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยาจึงมิใช่แต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อุปการะเลี้ยงดูตามความสามารถและฐานะของตนเท่านั้น นอกจากอีกฝ่ายหนึ่งจะฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพได้แล้วยังเป็นมูลเหตุประการหนึ่งให้ การหย่าร้างนั้นสามารถฟ้องหย่าได้เช่นกัน

ค่าเลี้ยงดูจะกำหนดทั้งในส่วนของค่าเลี้ยงดูระหว่างบิดามารดากับบุตรและค่าเลี้ยงดูระหว่างสามีและภรรยา หากมีการฟ้องคดีศาลจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้มีหน้าที่เป็นผู้รับและเมื่อให้แล้วให้เพิกถอนได้ คุณสามารถลดหรือเพิ่มได้เช่นกัน

การลงทะเบียนเด็ก

เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันจะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของมารดาเพียงคนเดียว บิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็กย่อมไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย และบุตรนั้นก็ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาด้วย ผลก็คือจะไม่มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างกัน กล่าวคือ บิดาไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมที่จะดำเนินการใดๆ แทนบุตร เช่น การให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมต่างๆ ไม่มีอำนาจปกครอง ไม่มีภาระหน้าที่ในการดูแลเด็ก ไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตร ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ อันเกิดจากการที่ลูกถูกทำร้าย เป็นต้น ในขณะเดียวกันตัวลูกชายเองก็คงไม่มีหน้าที่เลี้ยงดูพ่อ ไม่มีสิทธิรับมรดกถ้าบิดามิได้รับรองโดยพฤติการณ์ว่าเป็นบุตร

การจดทะเบียนเกิดเป็นวิธีทางกฎหมายอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา สูติบัตรของเด็กต้องจดทะเบียนกับนายทะเบียนและต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและเด็กของเด็ก หากมารดาหรือบุตรคัดค้านการจดทะเบียนบิดามีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วนำคำพิพากษาของศาลไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุตรและ แม่อีกครั้ง แต่ในทางปฏิบัติคนส่วนใหญ่จะใช้วิธียื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาก่อนแล้วจึงนำไปจดทะเบียนเพื่อหลีกเลี่ยงการคัดค้านและการจดทะเบียนจากนายทะเบียนแต่แรก

การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม

บิดาหรือมารดาบุญธรรมและบุตรบุญธรรมเป็นบุคคลซึ่งไม่มีสายเลือดเดียวกัน เกิดขึ้นจากความยินยอมร่วมกันของพ่อแม่บุญธรรมและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็ก และบุตรบุญธรรมด้วยเหตุผลบางประการ เช่น เพื่อให้ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี หรือเพื่อให้ผู้รับบุญธรรมซึ่งไม่มีบุตรสามารถมีบุตรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเด็กได้รับการจดทะเบียนเพื่อรับบุตรบุญธรรม กฎหมายคุ้มครองสิทธิของเด็กให้มีสถานะเช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา หรือมารดาบุญธรรมทันทีนับแต่วันจดทะเบียน เช่น มีสิทธิรับมรดกมีสิทธิใช้นามสกุลบิดาหรือมารดาบุญธรรม แต่บิดา หรือมารดาบุญธรรมไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรม นอกจากนี้ บุตรบุญธรรมยังไม่สูญเสียสิทธิในครอบครัวเดิม กล่าวคือ ยังมีสิทธิได้รับมรดก ของพ่อแม่ที่แท้จริงและพ่อแม่ที่แท้จริงมีสิทธิที่จะเยี่ยมเยียนได้ตามที่เห็นสมควร

อย่างไรก็ตามกฎหมายยังคุ้มครองเด็กโดยบิดาหรือมารดาบุญธรรมสามารถยุติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองที่แท้จริงก่อน และฟ้องเลิกรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมโดยไม่มีเหตุอันควรไม่ได้

การรับบุตรบุญธรรมจะใช้ได้ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม หากผู้ที่จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมต้องปฏิบัติตามกฎหมายการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมก่อน คุณสมบัติผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมมีดังนี้

  1. ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุอย่างน้อย 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าผู้รับบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
  2. บุตรบุญธรรมที่มีอายุอย่างน้อย 15 ปีต้องให้ความยินยอม
  3. บุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดาหรือผู้ปกครอง
  4. ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ที่จะรับเป็นบุตรบุญธรรม หากมีคู่สมรส ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
  5. ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดแล้วจะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น เว้นแต่จะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม

เมื่อรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็สามารถยุติการรับบุตรบุญธรรมได้เช่นกัน กฎหมายได้กำหนดวิธีการเลิกรับบุตรบุญธรรมไว้ 2 วิธี คือ การเลิกรับบุตรบุญธรรมโดยความตกลงระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมในกรณีที่บุตรบุญธรรมบรรลุนิติภาวะแล้วหรือโดยความยินยอมของบิดามารดาในกรณีที่บุตรบุญธรรม ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และการฟ้องขอให้เลิกรับบุตรบุญธรรมเมื่อมีเหตุใด ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้

พินัยกรรม

พินัยกรรม คือ การแสดงเจตนาในกรณีที่ถึงแก่ความตายเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนหรือเรื่องอื่น ซึ่งจะมีผลใช้บังคับเมื่อผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย พินัยกรรม ก. ถือเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเพราะมีความสำคัญต่อทรัพย์สินของผู้ตาย โดยแบบพินัยกรรมนั้นกฎหมายกำหนดไว้ 5 แบบ ดังนี้

1. เจตจำนงที่เรียบง่าย

ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือพิมพ์ก็ได้ (เขียนหรือพิมพ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ) พร้อมวัน เดือน ปี ในขณะทำ และต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน คุณสามารถเซ็นชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือก็ได้ แต่พยานที่จะลงพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อเท่านั้น

2. พินัยกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรของตนเอง

จะต้องทำเป็นหนังสือและผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองเท่านั้น ไม่สามารถให้ผู้อื่นเขียนแทนได้ จะใช้ภาษาไทย หรือภาษาต่างประเทศก็ได้ เพราะฉะนั้นคนที่เขียนหนังสือไม่ได้จะทำพินัยกรรมแบบนี้ไม่ได้ พินัยกรรมแบบนี้จะมีพยานหรือไม่ก็ได้เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้พยานลงลายมือชื่อ แต่วันเดือนปีต้องลงวันที่ในขณะที่ทำและผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อเท่านั้น ห้ามใช้ลายนิ้วมือหรือเคอรี่หรือเครื่องหมายอื่นๆ

3. พินัยกรรมจัดทำเป็นเอกสารทางการเมือง

การขอพินัยกรรมเป็นเอกสารทางการเมือง จะต้องยื่นคำขอต่อกรมการอำเภอ (นายอำเภอ) ในอำเภอใดก็ได้เพื่อดำเนินการตามความประสงค์ โดยแจ้งข้อความที่ประสงค์จะใส่ความในพินัยกรรมต่อนายอำเภอพร้อมพยานบุคคลอย่างน้อยสองคนในคราวเดียวกัน ให้นายอำเภอจดบันทึกข้อความของผู้ทำพินัยกรรม และอ่านข้อความให้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานฟัง เมื่อเห็นว่าข้อความที่นายอำเภอจดถูกต้องตรงกับที่ผู้ทำพินัยกรรมแจ้งแล้ว ให้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ข้อความที่นายอำเภอจดลง ให้นายอำเภอลงลายมือชื่อ วัน เดือน ปี พินัยกรรมจัดทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ข้างต้น แล้วประทับตราไว้เป็นสำคัญ
การทำพินัยกรรมในเอกสารทางการเมืองไม่จำเป็นต้องทำที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอเสมอไป หากผู้ทำพินัยกรรมประสงค์จะทำนอกที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ

4. พินัยกรรมที่ทำขึ้นในลักษณะเอกสารลับ

ต้องมีคำแสดงเจตนาตามแบบของทางราชการยื่นต่อกรมการอำเภอ (นายอำเภอ) ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือกิ่งอำเภอโดยมีข้อความในพินัยกรรมและลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรม ทั้งผู้ทำพินัยกรรมต้องประทับตราในพินัยกรรมและลงลายมือชื่อกำกับไว้เหนือดวงตราด้วย
. ไปแสดงต่อนายอำเภอและพยานอย่างน้อย 2 ปากพร้อมให้ปากคำกับตนทั้งหมดว่าเป็นความประสงค์ของตน ให้นายอำเภอจดถ้อยคำของผู้ทำพินัยกรรม และวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรมใส่ซองพับไว้ และประทับตราตำแหน่ง จากนั้น นายอำเภอผู้ทำพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อในซอง

5. พินัยกรรมทำด้วยวาจา

พินัยกรรมนี้สามารถทำได้ภายใต้สถานการณ์พิเศษ ซึ่งผู้ทำพินัยกรรมไม่สามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กฎหมายกำหนดได้ เช่น ตกอยู่ในภยันตรายใกล้ตายหรือเมื่อเกิดโรคระบาดหรือสงคราม ซึ่งกรณีดังกล่าวผู้ทำพินัยกรรมไม่อาจหาลายลักษณ์อักษรได้ ช้อนส้อมได้ทันท่วงที หรือจนกว่าจะพบก็จะตายเสียก่อน. ผู้ทำพินัยกรรมสามารถทำพินัยกรรมได้ โดยการแสดงเจตนาทำพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนพร้อมกัน พยานทุกคนต้องมาแสดงตนต่อนายอำเภอโดยไม่ชักช้าและแจ้งให้นายอำเภอทราบถึงข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมสั่งด้วยวาจา วัน เดือน ปี สถานที่ทำพินัยกรรมกรณีพิเศษที่ทำให้ไม่สามารถจัดทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กฎหมายกำหนด

การทำพินัยกรรมในรูปแบบที่ถูกต้องมีความสำคัญมากเพราะมีผลต่อความถูกต้องของพินัยกรรม การกำหนดเงื่อนไขในพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินและสิทธิที่มีอยู่ก่อนตาย แนะนำให้ปรึกษาทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในการจัดทำพินัยกรรม

มรดก

มรดกคือทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของผู้ตาย รวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้ตายที่มีอยู่ในขณะเสียชีวิตด้วย มรดกและพินัยกรรมจะไม่เป็นอันเดียวกันแต่มักสัมพันธ์กันเนื่องจากเป็นทรัพย์สินของผู้ตายด้วย หากผู้ตายไม่ทำพินัยกรรมยกมรดกให้แก่ผู้ใด ทรัพย์สินของผู้ตายจะตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมายว่าด้วยมรดกทันทีที่ตาย

เมื่อถึงแก่ความตายย่อมมีมรดกและสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ตายจะตกแก่ทายาท แต่ถึงกระนั้นทายาทก็มีสิทธิได้รับมรดก การจัดการมรดกไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากผู้มีอำนาจจัดการมรดกของผู้ตายคือผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดก คือ บุคคลที่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดการมรดกของผู้ตาย ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ โดยพินัยกรรมตั้งผู้จัดการมรดกและโดยคำสั่งศาลในกรณีที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมหรือ ไม่ได้ระบุพินัยกรรมไว้ ในกรณีหลังนี้ต้องปรากฏว่ามีเหตุขัดข้องในการแบ่งทรัพย์มรดกและทายาทผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิรับมรดกจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ขอเป็นผู้จัดการมรดกจะเป็นทายาทเองหรือบุคคลใดก็ได้ แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมายคือ

  1. จะต้องบรรลุนิติภาวะ
  2. ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
  3. ไม่เป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย

ในการร้องขอให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งของศาล ทายาททุกคนต้องให้ความยินยอมในการแต่งตั้งบุคคลนั้นเป็นผู้จัดการมรดก หากมีการคัดค้านในศาลต้องดำเนินการไต่สวนเพื่อตัดสินว่าใครสมควรเป็นผู้จัดการมรดกโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของการจัดการมรดก หรือจะสั่งให้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันก็ได้

กำลังมองหาทนายความ?

หากคุณกำลังมองหาทนายความเพื่อปรึกษา หรือต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเอกสารทางกฎหมาย การว่าความ หรือการต่อสู้คดีในศาล
เพียงฝากข้อมูลการติดต่อของคุณและแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับปัญหาของคุณ เราจะติดต่อกลับโดยเร็วที่สุดพร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายของคุณ

ATa Outsourcing